พัฒนาสัมมาสติ พัฒนาสัมมาสมาธิขึ้นมาให้ได้
เครื่องมือในการปฏิบัติที่สำคัญมี 2 ตัว สัมมาสติตัวหนึ่ง สัมมาสมาธิตัวหนึ่ง ฉะนั้นในองค์มรรคทั้ง 8 ไปดูให้ดี จะลงท้าย องค์มรรคอันที่เจ็ดคือสัมมาสติ อันที่แปดคือสัมมาสมาธิ ถัดจากนั้นไม่มีแล้ว ฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาเครื่องมือ 2 ตัวนี้ขึ้นมาให้ได้ สัมมาสติกับสัมมาสมาธิ สัมมาสติมันเป็นเครื่องระลึกรู้รูปนาม กายใจของเรา พระพุทธเจ้าอธิบายสัมมาสติด้วยสติปัฏฐาน 4 รู้กาย อันนี้เป็นส่วนของรูป รู้เวทนาเป็นส่วนของนาม รู้จิต อันนี้รู้จิตที่เป็นกุศลอกุศล อันนี้เป็นส่วนของสังขารแล้วก็ธัมมานุปัสสนา มีทั้งรูป มีทั้งนาม ขั้นแอดวานซ์
สติเป็นอนัตตา สั่งให้เกิดไม่ได้ เราทำเหตุของสติแล้วสติจะเกิด เหตุของสติก็คือการที่เราเห็นสภาวะเนืองๆ เห็นบ่อยๆ เห็นถี่ๆ สภาวะอันนั้นก็คือรูปธรรมกับนามธรรม ถ้าเราไปเห็นสภาวะอย่างอื่น เช่น เราเห็นลมพัดใบไม้ไหวอะไรอย่างนี้ มันออกข้างนอกไป ให้เรียนรู้อยู่ที่รูปธรรมนามธรรม เบื้องต้นให้เรียนที่ตัวเองก่อน ถ้าเราชำนิชำนาญจริงแล้ว รูปนามภายใน รูปนามภายนอกก็ใช้ได้เหมือนกันหมดล่ะ แต่เบื้องต้นให้เรียนที่รูปนามภายในก่อน
สติเกิดจากจิตจำสภาวะได้แม่น อย่างเราจะจำใครได้แม่นสักคนหนึ่ง เราต้องเห็นเขาบ่อยๆ อย่างเรามีญาติพี่น้องแต่เราไม่ได้เจอกัน 20 ปี เจอกันจำไม่ได้ เรามีเพื่อนเจอกันทุกวันตั้งแต่เด็กจนแก่ เห็นที่ไหนเราจำได้เลย ฉะนั้นสติมันจะเกิดได้ ถ้าเราเห็นสภาวะบ่อยๆ การที่ท่านสอนสติปัฏฐาน บอกให้เรารู้กายเนืองๆ รู้เวทนาเนืองๆ รู้จิตเนืองๆ รู้ธรรมเนืองๆ เนืองๆ ก็คือรู้ถี่ๆ รู้บ่อยๆ การรู้บ่อยๆ ทำให้สติเกิดขึ้น
อย่างหลวงพ่อหัดหายใจ หายใจแล้วรู้สึกตัวๆ เวลาเราเผลอ อย่างเห็นผู้หญิงสวยๆ สมัยหนุ่มๆ ตอนนี้เห็นก็เหมือนเห็นต้นไม้แล้ว เห็นผู้หญิงสวยๆ ใจเราชอบ มันก็เห็นใจมันเกิดความชอบขึ้นมา หรือบางทีเราเคยฝึกร่างกายเคลื่อนไหว เรารู้สึก ร่างกายขยับอะไร เรารู้สึก พอเราเผลอๆ เราก้าวเท้าไป เวลาฝึก ฝึกมือขยับ ตอนขาดสติ เราขยับเท้า แค่ร่างกายเคลื่อนไหว สติเกิดเองเลย รู้ตัวขึ้นมา เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นรูปมันเคลื่อนไหว จิตก็ตั้งมั่น สมาธิก็เกิดขึ้นทันที
ถ้าเมื่อไรมีสัมมาสติ เมื่อนั้นจะต้องมีสัมมาสมาธิอัตโนมัติเลย สัมมาๆ ทั้งหลาย เวลาเกิด มันเกิดร่วมกัน มันไม่เกิดทีละตัวหรอก ฉะนั้นเมื่อไรเรามีสติ ระลึกรู้กายอย่างถูกต้อง ระลึกรู้นามธรรม สุข ทุกข์ ดี ชั่ว หรือระลึกรู้เท่าทันจิต สมาธิก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ 2 ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ ถ้าเรามีสัมมาสติ เรามีสัมมาสมาธิ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะทำได้ เรียกว่ามีสัมมาญาณะ มีการหยั่งรู้สภาวธรรมได้ถูกต้อง คือเห็นไตรลักษณ์ของมัน พอเราทำวิปัสสนาได้ หรือมีสัมมาญาณะได้แล้ว สัมมาวิมุตติ คืออริยมรรค อริยผลก็จะเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำ พัฒนาสัมมาสติ พัฒนาสัมมาสมาธิขึ้นมาให้ได้ องค์มรรคก่อนหน้านั้นอีก 6 องค์ องค์มรรคอีก 6 อันเป็นพื้นฐานที่จะสนับสนุนให้เราพัฒนาสัมมาสติและสัมมาสมาธิขึ้นมา อย่างมีสัมมาทิฏฐิ เราเรียนรู้ทฤษฎีที่ถูกต้อง รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าทุกข์คือรูปนาม คือกายใจของเรานี้ หน้าที่ต่อทุกข์คือการรู้ สิ่งที่เราต้องละคือความอยาก ไม่ใช่อยากละทุกข์ แต่ท่านให้รู้ทุกข์ เราต้องรู้หลักอย่างนี้ให้แม่น มิฉะนั้นเวลาภาวนาจะผิดเลย
อย่างเวลาจิตเราฟุ้งซ่านขึ้นมา เราอยากละ อยากให้จิตสงบ อยากละ อันนี้ผิดแล้ว จิตที่ฟุ้งซ่าน มันอยู่ในกองทุกข์ อยู่ในขันธ์ ในสังขารขันธ์ที่เป็นกองทุกข์ หน้าที่คือรู้ ไม่ใช่ละ นี่คือตัวสัมมาทิฏฐิ รู้ว่าเราต้องรู้ทุกข์ ละอะไร ละความอยากของเราเสีย อันนี้เป็นพื้นเลยที่จะต้องเข้าใจ การรู้ทุกข์จนกระทั่งละความอยากได้ นั่นล่ะคือการเจริญมรรค แล้วผลก็คือความพ้นทุกข์ หรือนิโรธ เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ทุกข์ ละสมุทัยให้ได้
สิ่งที่เรียกว่าทุกข์คือรูปนาม คือกายคือใจของเรา นี่คือทฤษฎีพื้นฐาน เป็นสัมมาทิฏฐิในภาคปริยัติ พวกเราไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะเราไม่ใช่ภูมิของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า หรือสัมมา สัมพุทธเจ้า เราเป็นระดับสาวก เราก็อาศัยฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้รู้ทุกข์ คือรู้กายรู้ใจของตัวเองนี้ ให้ละความอยากเสีย ดูลงไปในกายนี้ทุกข์จริงไหม จิตนี้ทุกข์จริงไหม ดูอย่างนี้ พอมันเห็นจริงแล้วมันก็ละความอยากของมันไปเอง
อย่างพอมันเห็นจริงว่าร่างกายนี้คือตัวทุกข์ มันก็ไม่มีความอยากที่จะให้กายพ้นทุกข์ ไม่มีความอยากที่จะให้กายมีสุข เพราะมันเห็นจริงแล้ว มันคือตัวทุกข์ เราเห็นจิตตามความเป็นจริงแล้วเรารู้ จิตคือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย พอเห็นจริงอย่างนี้ก็ละสมุทัย เมื่อไรรู้ทุกข์ เมื่อนั้นละสมุทัย แล้วเมื่อนั้นคือการเจริญมรรค แล้วขณะนั้นล่ะ เราแจ้งนิโรธในขณะเดียวกันเลย นี่คือสัมมาทิฏฐิ
เวลาลงมือปฏิบัติ ให้เราสังเกตความคิดของเราให้ดี ความเห็นของเราถูกแล้ว ความคิดเราก็ต้องถูก สังเกตดู เรื่องราวที่เราคิดแต่ละเรื่องๆ อะไรอยู่เบื้องหลัง กุศลอยู่เบื้องหลัง หรืออกุศลอยู่เบื้องหลัง อย่างเราคิดไปอย่างนี้ คิดด้วยความโลภ หรือคิดด้วยความโกรธ หรือคิดด้วยความหลงผิด ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หรือเราคิดเป็นบุญเป็นกุศล รู้ทันจิตใจของตัวเอง มันคิดอย่างนี้อะไรอยู่เบื้องหลัง ถ้าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเป็นกุศล มันก็เป็นสัมมาสังกัปปะ เป็นองค์มรรคที่ดีตัวที่สอง ถ้าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเราเป็นกิเลส มันก็เป็นมิจฉาสังกัปปะ ฉะนั้นเราสังเกตเอา ที่เราคิดเราคิดเพราะกุศล หรือคิดเพราะอกุศล สังเกตเรื่อยๆ ไป ฉะนั้นรู้อยู่ที่จิตตนเองนั่นล่ะ
พอเราสังเกตตัวนี้ได้ สัมมาวาจาจะเกิดขึ้นเอง พอจิตใจเราคิดแล้วเราไม่ถูกกิเลสครอบงำ คำพูดของเรามันก็เป็นสัมมาวาจา พูดความจริง พูดด้วยเมตตา พูดเพราะมีเหตุสมควรพูด ไม่ใช่พูดเพ้อเจ้อ องค์ประกอบ 5 ตัวไปถามกูเกิ้ลเอา รายละเอียดมันเยอะ สัมมาวาจาเกิดขึ้นได้ ถ้าความคิดของเราถูกต้อง ไม่ถูกกิเลสครอบงำความคิด
เมื่อความคิดถูกต้อง คำพูดเราถูกต้อง การกระทำของเราก็ถูกต้อง การเลี้ยงชีวิตของเราก็ถูกต้อง องค์มรรคทั้งหลายมันสมบูรณ์ขึ้นมาเอง อาศัยการรู้ทุกข์ การที่เราคอยรู้ทันจิตใจว่ากุศลหรืออกุศลผลักดันอยู่ นั่นคือการรู้ทุกข์ เพราะจิตของเรานั้นคือตัวทุกข์ ฉะนั้นเราคอยรู้ลงไปเลย มันลัดสั้นที่สุดแล้วตรงนี้
พอเรามีความเห็นถูก มีความคิดถูก มีคำพูดถูก การกระทำถูก การเลี้ยงชีพถูก ตรงนั้นล่ะจะทำให้กุศลเจริญขึ้น ทำให้อกุศลที่มีอยู่ลดลง ตัวนั้นคือองค์มรรคตัวที่เท่าไร ตัวที่ห้าใช่ไหม เท่าไร ตัวที่หกๆ เรียกสัมมาวายามะ ความเพียรชอบมันเกิดขึ้น ฉะนั้นการที่เรามีทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง เราคอยรู้เท่าทันสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเรา คำพูด การกระทำ การเลี้ยงชีวิตก็จะเกิดความถูกต้อง แล้วอันนั้นล่ะ จะทำให้สัมมาวายามะคือความเพียรชอบเกิดขึ้น
Comments